โครงการชุมชนชายฝั่ง
ข่าวประชาสัมพันธ์
จังหวะก้าวการดำเนินงานพื้นที่สะกอมโดยทีมนักรบผ้าถุง
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568
ทีมนักรบผ้าถุงชวนมาสรุปเเละประมวลงานของนักรบผ้าถุง ในภาพรวมที่ดำเนินงานเพื่อหาทิศทางการทำงานในภาพรวม
ซึ่งโครงการ Care ของเราเป็นหนึ่งในทิศทางที่ประมวลงานของ นักรบผ้าถุง เเละกลุ่มเยาวชน
อภิศักดิ์ ทัศนี บันทึกเรื่องราว
"สวนป่าชายหาดผืนสุดท้ายฝั่งอ่าวไทย"
"สวนป่าชายหาดผืนสุดท้ายฝั่งอ่าวไทย"
แหลมสนอ่อนเป็นสวนป่าชายหาดเกิดใหม่ของเมืองสงขลา อาจมีอายุกว่าร้อยปี นับแต่ร.2 เป็นต้นมา (สมัยร.2 ยังไม่มีหาดผืนนี้) โดยทวีอัตราเร่งในการเป็นผืนทรายงอกใหม่หลังปี 2511 อันเกิดจากเจ็ตตี้ดักตะกอนทรายเอาไว้เมื่อปี 2510 ปัจจุบันคาดว่าจะมีพื้นที่ราว 700 ไร่ ภายในเต็มไปด้วยป่าสนทะเล อยู่ในการดูแลของที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์
ที่ดินผืนนี้เป็นทำเลทองอีกแห่งที่มีเมกะโปรเจคเสนอตัวมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ต้องการพัฒนาเพื่อสร้างรายได้หรืออยู่อาศัย อาทิ กระเช้าลอยฟ้า แฟลตทหารเรือ บางส่วนของพื้นที่ปล่อยให้เอกชนเช่าเป็นโรงแรม อควอเรียม โครงการส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการรักษาสภาพธรรมชาตินี้ไว้ ล่าสุดทน.สงขลาได้ประสานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดมาศึกษาและพัฒนาเป็นสถานที่เรียนรู้และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จึงเป็นที่มาของการเดินสำรวจและเรียนรู้ร่วมกัน โดยการประสานของกลุ่ม beach for life ในช่วงบ่ายของวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา และจบลงด้วยการเสวนากลุ่มย่อยที่มีโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดมาร่วม กับภาคประชาสังคม นักการเมือง นักวิชาการ
รศ.ดร.สาระ บำรุงศรี หนึ่งในวิทยากรช่วงเดินสำรวจป่า กล่าวว่า ระบบนิเวศจะเกิดได้ ต้องการความหลากหลาย ไม่มีพันธุ์ไม้/พืชใดอยู่อย่างลำพัง แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงได้จากฝีมือมนุษย์ หรือจากภัยธรรมชาติ และการเสื่อมสลายไปเอง ซึ่งป่าแห่งนี้แม้จะเกิดจากมนุษย์ และมีไม้สนที่เป็นสายพันธุ์ทำลายล้างไม้พันธุ์อื่น แต่บางพื้นที่ยังเปิดโล่ง หรือถูกทำลาย ทำให้มีไม้อื่นเกิดขึ้นเองและมีการปลูกเพิ่ม ทั้งนี้ไม้ในพื้นที่จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ แม่ไม้ ไม้เบิกนำ และไม้พื้นถิ่น ไม้สนจะไม่มีรากแก้ว แต่มีรากฝอยที่แผ่ตัวยึดโยงเข้าหากัน ทำให้เกิดผืนป่าสนขนาดใหญ่
"การมีชายหาดที่อยู่ในที่ดินรัฐ จึงทำให้ยังคงรักษาสภาพป่าโดยรวมเอาไว้ได้ แถมอยู่ใกล้เมือง ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ และอาจเป็นที่สุดท้ายของฝั่งอ่าวไทยที่มีลักษณะของสวนป่าชายหาดที่ยังสมบูรณ์" รศ.ดร.สาระ กล่าว
ป่าสนในแหลมสนอ่อนแห่งนี้ประกอบด้วยโซนที่ควรอนุรักษ์ไว้ พื้นที่ราว 50-70 ไร่ไม่ควรให้มนุษย์เข้าไปรบกวนอยู่ชั้นในสุด และชั้นนอกที่เป็นแนวกันชน ซึ่งเป็นป่าเกิดใหม่จากการถูกพายุดีเพรสชั่นทำลายเมื่อปี 2553 เทศบาลสงขลา จะนำรถไถเข้าไปจัดการวัชพืช รวมถึงปลูกไม้เสริม ทุก 3 เดือน และมีการสร้างถนนอำนวยความสะดวก ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างเพื่อความปลอดภัยและไม่ให้เป็นพื้นที่รกร้าง อย่างไรก็ดี ข้อเสนอแนะของรศ.ดร.สาระ ก็คือ การรักษาสภาพพื้นที่อนุรักษ์ควรอยู่ในรูปทรงวงกลมมากกว่าแนวรียาวขนานชายหาด
ภาคค่ำ โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด นำเสนอโครงการที่จะพัฒนา มูลค่า 60 ล้านบาท ประกอบด้วยการสร้างห้องน้ำ ศาลาพักคอย สะพานทางเดิน ศาลาพักผ่อน ที่จอดรถ และฐานการเรียนรู้ ที่พยายามใช้วัสดุทนต่อการกัดกร่อนและดูดซับน้ำ เมื่อสร้างแล้วเสร็จจะส่งมอบให้ทน.สงขลาดูแล ทั้งนี้ทางโยธาฯยังเปิดกว้างต่อความเห็น ที่มีข้อเสนอแนะ อาทิ
1.การออกแบบไม่สอดคล้องกับระบบนิเวศ ควรใช้โอกาสนี้ปรับรูปแบบให้เหมาะสม(เช่น ถนนที่ขวางทางน้ำและตัดขวางฉีกผืนป่าจากกัน การสร้างห้องน้ำ/ที่อาบน้ำ ศาลาต่างๆที่อาจทิ้งร้างในอนาคต เพราะไม่มีคนใช้) และจัดทำแผนแม่บทสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนบนฐานความรู้จากหลายมุมมอง ที่สำคัญ ค้นหาให้ชัดว่าที่นี่คือ "เพชร" หรือ "พลอย" กันแน่ โดยศึกษาประโยชน์หรือคุณค่ากับคนสงขลาในเชิงระบบนิเวศ(แนวกันชนลมและพายุ ผลิตออกซิเจน) เศรษฐกิจ(แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ดูนก ดูพันธุ์ไม้) สังคม(พื้นที่เรียนรู้ การศึกษาของเยาวชน) สุขภาพ(พื้นที่ออกกำลังกาย นันทนาการ พื้นที่สีเขียว อากาศบริสุทธิ์-ปัจจุบันมีคนเดินวิ่งราว 80-90 คนต่อวัน) มองอย่างรอบด้าน แล้วจัดทำเป็น "ธรรมนูญ" หรือเป็นข้อตกลงทางผังเมือง ประกาศใช้พร้อมกำหนด zoning การใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดการนำไปพัฒนาผิดทาง
2.ศึกษาที่มาของสนอ่อน ว่าคือสนชนิดใดกันแน่ ใช่สนทะเล หรือสนทรายที่เคยมีหรือไม่ พร้อมค้นพันธุ์ไม้พื้นถิ่นที่ปลูกแซม
เราควรพัฒนาบนฐาน "ความรู้" และ "ความรัก" จะทำให้ก้าวข้ามความขัดแย้งของความแตกต่างทางความคิด การหาโจทย์ จำเลย รศ.ดร.สาระ กล่าวสรุปเอาไว้
หมายเหตุ ใบสนที่หลายคนเข้าใจ จริงๆแล้วคือกิ่งสน กิ่งสนนี้มีน้ำมันเมื่อทิ้งตัวร่วงบนพื้นจะแผ่คลุมไม่ให้พืชอื่นเติบโต
อัพเดตจากเสวนาวันที่ 11 ตุลาคม 2568 โยธาฯให้ทำรายละเอียดปรับเเก้ไขมา เเล้วเขาจะประชุมปรับเเก้ไขเเบบตามที่เสนอ โดยอยากให้เสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2568
พื้นที่สีเขียวในเมือง ป่าต้นน้ำ คือเรื่องเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวและรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้ระบบนิเวศ
ชาคริต โภชะเรือง บันทึกเรื่องราว
ขอบคุณภาพจากเพจ Beach For Life Thailand
"CARE เตรียมจัดเวทีประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน"
"CARE เตรียมจัดเวทีประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน"
วันที่ 18 มีนาคม 2568 ประชุมคณะทำงานโครงการวิทยาศาสตร์พลเมืองเสริมพลังชุมชนชายฝั่งสงขลา(CARE) สรุปบทเรียนการจัดทำกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการช่วงวันที่ 10-11 มีค.ที่ผ่านมา และเตรียมจัดประชุมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาคส่วนต่างๆต้นเดือนเมษายน
เป้าหมาย สร้างความร่วมมือเชิงนโยบายและปฏิบัติการร่วมกับทรัพยากรชายฝั่งส่วนกลางและพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานต่างๆในการขยายผลการศึกษาจัดทำแผนที่ความเสี่ยงชายฝั่งจ.สงขลา และเสริมหนุนการขับเคลื่อนของชุมชน หน่วยงานเป้าหมาย : ทช.ส่วนกลางและพื้นที่ ศูนย์อุตุฯภาคใต้ฝั่งตะวันออก สสว.11 ปภ.เขต 12 ปภ.จังหวัด ทสจ. พมจ. โยธาธิการและผังเมือง อบจ. ม.อ./ศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ มทร.ศรีวิชัย/คณะสถาปัตย์ฯ อปท.ในพื้นที่ 6 ตำบล(สำนักปลัด กองช่าง กองสาธารณสุข) หอการค้า สมาคมเอสเอ็มอี สมาคมการท่องเที่ยว สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และแกนนำคณะทำงาน 6 พื้นที่
ส่งหนังสือเชิญพร้อมเอกสารแนะนำโครงการ 1 หน้า A4 เอกสารแนะนำการจัดทำแผนที่ความเสี่ยง พร้อมบัญชีรายชื่อหน่วยงานที่เชิญเข้าร่วม
กิจกรรมหลัก เชิญรองผู้ว่าฯเข้าร่วม นำเสนอโครงการ และการจัดทำแผนที่ความเสี่ยง พร้อมข้อเสนอความร่วมมือ หน่วยงานสำคัญ บอกเล่าบทบาทและแนวทางความร่วมมือ จัดประชุมวันที่ 8 เมษายน เวลา 09.00-12.00 น. พร้อม live สดการประชุม
กิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไป วันที่ 5 เมษายน นัดทีมเก็บข้อมูลและพื้นที่ตำบลตลิ่งชัน ณ มูลนิธิชุมชนสงขลา และประชุมคณะทำงานโครงการ 21 เมษายน 2568 เวลา 10.00-12.00 น.
เสริมพลังชุมชนชายฝั่งสงขลา รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการกัดเซาะชายฝั่งด้วยวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง
เสริมพลังชุมชนชายฝั่งสงขลา รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการกัดเซาะชายฝั่งด้วยวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง
ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพคณะทำงานโครงการวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองเสริมพลังชุมชนชายฝั่ง ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ดำเนินการโดยมูลนิธิชุมชนสงขลา ร่วมกับกลุ่ม Beach for life โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นการส่งเสริมชุมชนชายฝั่ง 6 ตำบลในพื้นที่จังหวัดสงขลา ได้แก่ ตำบลบ่อตรุ ตำบลชุมพล ตำบลม่วงงาม ตำบลบ่อยาง ตำบลตลิ่งชัน และตำบลเกาะสะบ้า ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายให้สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมการจัดทำแผนชุมชนเพื่อการปรับตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพภูมิอากาศ
การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการเสริมพลังชุมชน และสร้างความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดสงขลา โดยการประมวลผลการศึกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง โดย รศ.ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง ที่ปรึกษาประจำโครงการ ให้แก่ชุมชนชายฝั่งที่เข้าร่วมประชุมได้รับทราบผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการกัดเซาะชายฝั่งจังหวัดสงขลา และปฏิบัติการให้ชุมชนชายฝั่งได้ระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการกัดเซาะชายฝั่งที่ชุมชนเผชิญปัญหา
รวมถึงการร่วมกันพูดคุย กำหนดแผน เครื่องมือในการจัดทำข้อมูลชุมชน เพื่อทำความเข้าใจสภาพชุมชน ระบบนิเวศของชุมชน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นกับชุมชนในจังหวัดสงขลา และการกำหนดเป้าหมายการปรับตัว รับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง
ความมุ่งหมายของโครงการนี้เพื่อหนุนเสริมการทำงานของชุมชนในการใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ในการรับมือและการปรับต่อต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการกัดเซาะชายฝั่งที่เกิดขึ้นกับชุมชน
ติดตามการทำงานร่วมกันได้ที่ https://scccrn.org
ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพคณะทำงาน
10-11 มีนาคม 2568
ณโรงเเรมวีว่า จังหวัดสงขลา
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ Beach For Life Thailand
"ประชุมทีม CARE เดือนมกราคม 68"
"ประชุมทีม CARE เดือนมกราคม 68"
6 มกราคม 2568 ประชุมทีมกลางโครงการ CARE หลังได้รับงบประมาณงวดที่ 1 มาเมื่อกลางธันวาคมที่ผ่านมา
1)กิจกรรมหลักที่กำลังดำเนินการ คือ การพัฒนาร่างคู่มือดำเนินงานโครงการ ประกอบด้วยเนื้อหาหลักๆ ได้แก่ 1.รายละเอียดโครงการภาพรวมทั้งหมด 2.เครื่องมือและกระบวนการดำเนินงาน ได้แก่ การทำแผนที่ความเสี่ยง(รอข้อมูลจาก ดร.สมปรารถนา) การวัดชายหาด(มีข้อมูลแล้ว) การประเมินความเปราะบางของชุมชนรวมถึงการเก็บข้อมูลประกอบการทำแผน (การพัฒนาชุมชนโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ/ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ และความเปราะบางของชุมชน/การเตรียมความพร้อมของชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ/แบบประเมินความพร้อมด้วยตนเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดการภัยพิบัติ (UN-DRR Self-Assessments: LG-SAT)กรอบการทำงานตามแนวคิดการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน (The Sustainable Livelihoods Framework:SLF)วิสัยทัศน์ของชุมชนในอนาคต) การสำรวจพันธุ์ไม้(รอข้อมูลจากน้ำนิ่ง) 3.แบบฟอร์มต่างๆ ใบเสร็จการเงิน
2)ทีมเล็กนัดหมายพื้นที่เป้าหมาย ลงพื้นที่พบทีมงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกลงในช่วงเดือนมกราคม ช่วงที่สองลงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมโครงการ ช่วยพื้นที่จัดตั้งคณะทำงานพื้นที่ละ 15 คนประกอบด้วยแกนนำ 5 คน(ผู้รับผิดชอบ ผู้ประสานงาน การเงิน ทีมข้อมูล)และสมาชิก ที่ควรมีองค์ประกอบเป็นผู้นำทั้งทางการและธรรมชาติ มีเยาวชน มีผู้หญิง มีกลุ่มอาชีพ เป้าหมายสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงวิเคราะห์จุดเด่น ความสนใจของพื้นที่ต่อการดำเนินโครงการ
คู่ขนานกับทีมดร.สมปรารถนา ลงพื้นที่เพื่อกำหนดแนวทางการวัดชายหาดให้กับชุมชนเป้าหมาย 18-19 มกราคม และ1-2 กุมภาพันธ์ การวัดชายหาดเป็นกิจกรรมที่มุ่งหวังให้ทำอย่างต่อเนื่อง
3)ส่งรายงานความก้าวหน้า 15 มกราคมนี้ ส่งความก้าวหน้าการเงินและการดำเนินงานงวดที่ 1 ทีมเล็กรวบรวมและส่งข้อมูลให้กับดร.ผกามาศไม่เกิน 20 มกราคม 2568
4)นัดประชุมทีมอีกครั้ง 10 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00-12.00 น. ออกแบบการประชุมเชิงปฏิบัติการให้กับทีมงานพื้นที่ๆละ 10 คน6 พื้นที่ วันที่ 3-4 มีนาคม 2568 ทำความเข้าใจแนวคิดหลักของโครงการ รวมถึงเครื่องมือการเก็บข้อมูลที่เตรียมไว้ และให้พื้นที่ออกแบบการเก็บข้อมูลเฉพาะของตัวเอง
"เตรียมทีม ๖ ชุมชนโครงการ CARE" พื้นที่ชุมชนชายฝั่งทะเลสงขลา
"เตรียมทีม ๖ ชุมชนโครงการ CARE"
วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ประชุมแกนนำโครงการวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองเสริมพลังชุมชนชายฝั่งสงขลา(CARE) ที่จะดำเนินการกับ 6 ชุมชนชายฝั่งสงขลาในเร็วๆนี้ โดยมีผู้เข้าร่วม 23 คนประกอบด้วย ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง ดร.ผกามาศ ถิ่นพังงา ทีมมูลนิธิชุมชนสงขลา คุณอภิศักดิ์ ทัศนี (น้ำนิ่ง) ผู้ประสานงานกลุ่ม Beach for life Thailand และแกนนำชุมชน ณ ห้องประชุมมูลนิธิชุมชนสงขลา พบรูปแบบการไหลของน้ำทะเลเปลี่ยนแปลง
๑.พื้นที่ตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด มี ๑๐ หมู่บ้าน ที่นี่มีพัง(สระน้ำ) ๕๒ พัง ที่เป็นแหล่งเก็บน้ำ โดยมีการปรับภูมิทัศน์พัง และพังใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรเป็นหลัก มี “วัง” คือพื้นที่ที่ติดกับทะเล ได้ถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นการทำบ่อกุ้ง สภาพของน้ำเป็นน้ำกร่อย จุดเด่นของพื้นที่มีป่าชายหาดที่เป็นแนวกันลมมีความยาวประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ปี ๕๓ เกิดผลกระทบหนัก ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเนื่องจากฤดูกาลน้ำทะเลหนุน และพายุ ธรรมชาติในอดีตเมื่อมีพายุจะมีน้ำพัดเข้าบ้าน ความกังวลของพื้นที่คือหากลมและฝนมาพร้อมกันอาจส่งผลกระทบหนักกับชุมชน หากมีการฟื้นฟูป่าชายหาดระยะทาง ๑๐ กิโลเมตรได้จะทำให้เป็นพื้นที่แนวกันลมและเป็นแหล่งอาหารให้กับชุมชน เช่น การปลูกต้นขี้เหล็ก สะเดา เสริมเป็นป่ากินได้ และอาจพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ด้วย
๒.พื้นที่ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมีน้อย สิ่งที่กระทบมากคือลม ทำให้กระทบต่อการทำมาหากินของชาวประมง รายได้น้อยลง ปีนี้พบว่าน้ำในทะเลร้อนมากขึ้นปลาลดลง ในชุมชนมีการทำธนาคารปู สิ่งที่มีความพยายามทำคือการเสริมสร้างอาชีพรองเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือน มีกลุ่ม ๒ กลุ่มสมาชิก ๖๖ คน
๓.พื้นที่ม่วงงาม อำเภอสิงหนคร ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ค่อนข้างรุนแรง การแก้ปัญหา ซึ่งการแก้ปัญหาป้องกันการกัดเซาะบ้านเรือนยังไม่มี ปีนี้อาจส่งผลกระทบมาก พบรูปแบบการไหลของน้ำทะเลเปลี่ยนไป ครึ่งปีหลังน้ำไม่ไหลตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง น้ำมีการยกตัวขึ้นวิ่่งตรงเข้าออกกับชายหาด พื้นที่บริเวณจากเกาะแมวจนถึงพังสาย ทิศทางกระแสน้ำและทางน้ำเปลี่ยนไปมาก ซึ่งกระแสน้ำลักษณะนี้หากเกิดพายุจะทำให้เกิดคลื่นแรงมาก อาจจะส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะที่รุนแรงมากขึ้น
๔.พื้นที่บ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา พื้นที่พบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณที่มีการเติมทราย กัดเซาะจนถึงโค้งถนนเก้าเส้ง กรมโยธาธิการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการทิ้งหินบริเวณหน้าชุมชน ซึ่งทำให้เกิดการกัดด้านทิศเหนือ ส่งผลให้ต้นสนล้ม ชายหาดด้านทิศเหนือหาดหายไป เทศบาลแก้ไขโดยการใช้กระสอบทรายต่อเนื่องจนถึงหน้ามทร.ศรีวิชัย และเกิดการกัดเซาะต่อไปจนถึงวงเวียน จึงมีโครงการดูดทรายชายหาด บริเวณหัวสนหาดเก้าเส้งจนถึงสนามมวย แต่มีการทิ้งงานไม่สามารถดำเนินงานโครงการต่อได้ ตอนนี้สภาพการกัดเซาะจึงกลับมาเหมือนเดิม
๕.พื้นที่ตลิ่งชัน อำเภอจะนะ มีปัญหาการกัดเซาะบริเวณตลิ่งที่มีความชัน ช่วงหน้ามรสุมจะมีประมาณ ๓-๔ เดือน การเกิดการกัดเซาะส่วนมากจะเป็นมรสุมจากภาคตะวันออก ช่วงนี้เริ่มมีมรสุมเข้า ปัญหาคือเรือประมงไม่สามารถจอดได้เพราะคลื่นจะกระทบตลิ่ง เริ่มมีการนำเรือไปไว้ที่ปากบางที่สะกอม ซึ่งการหนีคลื่นเกิดขึ้นประมาณ ๖-๘ ปีแล้ว ซึ่งเดือนร้อนทุกปี ก่อนที่จะมีเขื่อนผันน้ำที่สะกอม เนื่องจากน้ำตื้นเขิน และต้องมีการขุดให้น้ำลึก รัฐบาลจึงคิดโครงการสร้างเขื่อนผันน้ำเข้าคลอง ๓๐ ปีที่ผ่านมา ทำให้การกัดเซาะชายฝั่งเริ่มมากขึ้นประมาณ ๗ กิโลเมตร บางพื้นที่มีการกัดเซาะทำให้ตลิ่งสูง ปัจจัยสำคัญคือลม พัดเอาทรายริมทะเลออก ทำให้ต้นสนริมทะเลล้มลง บริเวณลานหอยเสียบเป็นพื้นที่เสียหายมาก ในพื้นที่สะกอม มีกลุ่มนักรบผ้าถุงเป็นกลุ่มท่องเที่ยว และมีผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเล เช่น ข้าวยำดอกลาย กิจกรรมท่องเที่ยวเกาะขาม โฮมสเตย์ เป็นการท่องเที่ยวผสมผสานกับอาชีพประมง
แลกเปลี่ยนข้อมูลและให้ข้อเสนอแนะแนวทางการทำงาน ในการพัฒนาชุมชนชายฝั่ง เช่น พบขยะ และโฟมจำนวนมาก ทำอย่างไรให้นำขยะ หรือโฟมไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่มากขึ้น การใช้ประโยชน์ชายหาดในฐานะพื้นที่สาธารณะ การทำงานในภาพรวมของตำบล การศึกษาพันธุ์ไม้พื้นถิ่นชายหาดว่าแต่ละพื้นที่มีพันธุ์ไม้อะไรบ้าง เพื่อนำมาต่อยอด ใช้เป็นมาตรการสีเขียวรับมือผลกระทบ
แนวทางการทำงานต่อไป แต่ละพื้นที่ตำบลจัดตั้งกลไกทีม จำนวน ๑๕ คน ประกอบด้วยหัวหน้าทีม เลขา/ผู้ประสานงาน การเงิน มีตัวแทนเยาวชนที่จะร่วมเก็บข้อมูล มีตัวแทนเชิงพื้นที่หมู่บ้าน กลุ่มอาชีพ โดยประสานหน่วยงานและท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม(ถ้ามี)





